น่าเศร้า

ดวงไม่ดีเลยโทรศัพท์พัง หน้าจอแตก เงินก็ไม่มี

น่าเศร้าไม๊ละ

มัน

วันนนี้เรียนมันมาก ฮ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

แอบระบาย

วันนี้น่าเศร้าเพราะไม่เข้าใจอาจารย์ที่สอนเราเหมือนกัน ทำไม่คะแนนของเราต้องขึ้นอยู่กับอาจารย์ด้วยเพราะว่าอะไร เป็นคนที่ประจบคนไม่เป็นหรอ เราเลยได้คะแนนน้อย เราทำอะไรถูกก็เป็นเรื่องเฉยๆแต่คนที่
อาจารย์โปรดทำอะไรถูกนิดหน่อยก็ได้เป็นคะแนนซะอย่างนั้น ผมมาลอกคิดดูแล้วว่าการเรียนในระดับใหนก็ไม่มีมมาตรฐานที่แน่นอน100%หรอกใช้ไหมคร้าบ แต่ผมก็เข้าใจ นำที่ใสมากๆๆก็ไม่มีปลา

ผมก็ไม่ได้น้อยใจอะไรมาก และก็ไม่โษอาจารย์ด้วย อาจจะเป็นเพราะผมกังวนกับคะแนนที่จะทำให้ผมจบนั้นเอง ดังนั้นผมว่าอยู่ที่การปรับตัวมากกว่า


ฝนตกอีกแล้ว


วันนี้ตื่นมาแต่เช้าฝนตกหนักมากก็เลยตื่น วันนี้ฝนตกอากาศเหงาๆเนาะ ก็เลยเกิดอาการแปลกๆที่เราไม่รู้ตัว จึงคิดถึงคำพูดที่ว่า







ชายจีนคนหนึ่งแบกถังน้ำสองใบไว้บนบ่าเพื่อไปตักน้ำที่ริมลำธาร



ถังน้ำใบหนึ่งมีรอยแตก ในขณะที่อีกใบหนึ่งไร้รอยตำหนิ และสามารถบรรจุน้ำกลับมาได้เต็มถัง...แต่ด้วยระยะทางอันยาวไกล จากลำธารกลับสู่บ้าน....



จึงทำให้น้ำที่อยู่ในถังใบที่มีรอยแตกเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ดำเนินมาเป็นเวลา 2 ปีเต็มที่คนตักน้ำสามารถตักน้ำ กลับมาบ้านได้หนึ่งถังครึ่ง....ซึ่งแน่นอนว่าถังน้ำใบที่ไม่มีตำหนิจะรู้สึกภาคภูมิใจ ในผลงานเป็นอย่างยิ่ง



...ขณะเดียวกันถังน้ำที่มีรอยแตกก็รู้สึก อับอายต่อความบกพร่องของตัวเอง มันรู้สึกโศกเศร้ากับการที่มันสามารถทำหน้าที่ได้เพียงครึ่งเดียวของจุดประสงค์ ที่มันถูกสร้างขึ้นมา



หลังจากเวลา 2 ปี… ที่ถังน้ำที่มีรอยแตกมองว่าเป็นความล้มเหลวอันขมขื่น



วันหนึ่งที่ข้างลำธาร มันได้พูดกับคนตักน้ำว่า "ข้ารู้สึกอับอายตัวเองเป็นเพราะ รอยแตกที่ด้านข้างของตัวข้าที่ทำให้น้ำที่อยู่ข้างในไหลออกมาตลอดเส้นทาง ที่กลับไปยังบ้านของท่าน" คนตักน้ำตอบว่า "เจ้าเคยสังเกตหรือไม่ว่ามีดอกไม้เบ่งบานอยู่ตลอดเส้นทางในด้านของเจ้า... แต่กลับไม่มีดอกไม้อยู่เลยในอีกด้านหนึ่งเพราะข้ารู้ว่าเจ้ามีรอยแตกอยู่.... ข้าจึงได้หว่านเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ลงข้างทางเดินด้านของเจ้าและทุกวันที่เราเดินกลับ... เจ้าก็เป็นผู้รดน้ำให้กับเล็ดพันธุ์เหล่านั้น เป็นเวลา 2 ปี ที่ข้าสามารถที่จะเก็บดอกไม้สวย ๆ เหล่านั้นกลับมาแต่งโต๊ะกินข้าว



ถ้าหากปราศจากเจ้าที่เป็นเจ้าแบบนี้แล้ว..เราก็คงไม่อาจได้รับความสวยงามแบบนี้ได้" คนเราแต่ละคนย่อมมีข้อบกพร่องที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง... แต่รอยตำหนิและข้อบกพร่องที่เราแต่ละคนมีนั้น อาจช่วยทำให้การอยู่ร่วมกันของเราน่าสนใจ และกลายเป็นบำเหน็จรางวัลของชีวิตได้....



ที่ต้องทำก็เพียงแค่ยอมรับคนแต่ละคนในแบบที่เขาเป็น.. และมองหาสิ่งที่ดีที่สุดในตัวของพวกเขาเหล่านั้นเท่านั้นเอง
ชื่อ ก้อ ไม่หล่อแต่มีมรดก

เพื่อน



ถ้าไม่.. แล้วอะไรล่ะ ที่ทำให้เรามาพบกับคนอีกหลายคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน


ถ้าไม่.. แล้วอะไรล่ะที่ทำให้เราถูกชะตาจนเรียกคนๆนั้นว่า “เพื่อน”


.......เพื่อน..... คนๆนึงที่ครั้งนึงก็เป็นได้แค่คนแปลกหน้าคนหนึ่ง เวลา ผ่าน เวลา คนแปลกหน้าคนนั้นก็กลับกลายมาเป็นคนที่เรา “ไว้ใจ”


.......เพื่อน..... คนที่พร้อมอยู่กับเราเสมอๆ ไม่ว่า สุข ทุกข์ เหงา เศร้า


.......เพื่อน..... คนที่พร้อมแชร์ความรู้สึกต่างๆโดยไม่เคยเอ่ยปากว่า “ถ้าทำอย่างนั้นแล้วฉันจะได้อะไร ”


.......เพื่อน..... คนที่ไม่เคยสนใจว่าเราจะหน้าตาดี มีสกุล ร่ำรวย ยากจน สูง ต่ำ ดำ ขาว หรือไม่


.......เพื่อน..... คนที่ไม่เคยเสแสร้ง แกล้งทำ


........แต่...... เพื่อนตาย หายากเหลือเกิน


เรามองด้วยตาเปล่าไม่ได้ ว่า คนๆนี้เป็นเพื่อนตายของเราหรือไม่ เรามองด้วยตาเปล่าไม่ได้ว่าคนๆนี้ เป็นคนที่พร้อมจะเคียงข้างเราเสมอไปมั้ย เรามองด้วยตาเปล่าไม่ได้ว่าคนๆนี้จริงใจกับเราแค่ไหน ทั้งหมดนี้ เราใช้ “ ตา ” มองไม่เห็น


........แต่...... ทั้งหมดนี้เราใช้ “ ใจ ” มองเห็นได้ เมื่อบทความ ล่วงเลยมาถึงตอนนี้


คุณล่ะ ? ใช้ตามองเพื่อน หรือใช้ใจมองเพื่อน


เราบอกไม่ได้ว่าคนๆไหนดี ไม่ดี จนกว่า... เราจะมีโอกาส รู้จัก กับคนๆนั้น แล้วใช้ใจของเราสัมผัส การคบใครสักคน คบเพียงกายก็ไร้ประโยชน์ แต่ การคบใครสักคน จำเป็นต้องคบกันด้วย ใจ


วันนี้ คุณ ใช้อะไร คบเพื่อนของคุณ อย่าบอกนะ ว่าคุณก็เป็นคนที่คบเพื่อนแค่ ตา เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น คุณก็คงเป็นคนที่ไม่น่าคบคนหนึ่ง


สำหรับคนที่ได้อ่ายข้อความฉบับนี้ คุณ..โชคดีจัง ที่มีเพื่อนรักคุณ และ คบคุณด้วยใจ อย่าลืม ส่งเมลข้อความนี้ ให้กับเพื่อนที่คุณ รัก ด้วย ใจ


ที่สำคัญ ส่งมันกลับไปให้เพื่อนคนที่เขียนมาให้คุณ เพื่อบอกกับเค้าว่า “ คุณดีใจที่มีเพื่อนอย่างเค้าเช่นกัน”



เราก็ดีใจที่มีเพื่อนอย่างพวกคุณ


วิชา เตรียมฝึกฯ

ก็ต้องแต่งกายให้เรียบร้อยที่สุดไงถ้าไม่เรียบร้อยก็ไม่ได้เข้าเรียน เรียบร้อยในที่นี้ก็คือ คือทุกคนที่มาเรียนต้องแต่งกายให้เรียบร้อย ตอนมาเรียนคาบแรกจำได้ว่าตัวเองไม่เรียบร้อยเลยซักอย่าง ก็โดนอาจารย์ดุไปก็เซ็งเหมือนกันว่าอะไรต้องเรียบร้อยขนาดนี้เลยหรอ แต่ตอนนี้ปรับปรุงตัวเองแล้วคร้บ ไม่เรียบร้อยเดี๋ยวไม่ได้เข้าเรียน จะเดือดร้อนอย่างมากเลยครับ
ประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียนนั้นมีมากมาย เช่น กิจกรรมของแขนงต่างๆ โดยเฉพาะแขนงของเราเองคือคอมพิวเตอร์ธุรกิจคร้าบ ได้ทำโครงการกับเพื่อนๆ ทำให้เรามีความสามัคคีกันมากขึ้นและมีความรับผิดชอบด้วยการได้มาเรียนวิชานี้ทำให้ตัวเองเปลี่ยนไปเยอะ ที่เห็นได้ชัดคือเรื่องการแต่งกาย,การตรงต่อเวลา ,การมีระเบียบวินัยและการมีความรับผิดชอบมากขึ้น เมื่อเปรีบบเทียบกับวิชาอื่นๆ ก็เห็นว่าดี เป็นโอกาสที่ดีทำให้เราได้ทำหน้าที่เป็นนักศึกษาที่ดีบ้าง จากที่เมื่อก่อนเป็นคนชอบแต่งกายไม่เรียบร้อย แต่ได้มาปรัยปรุงตัวแล้วดูหล่อไปอีกแบบหนึ่ง สำคัญคือการเรียนวิชานี้ทำให้เราเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น ต้องมาเรียนให้ตรงเวลา ได้เจอเพื่อนหลายๆ แขนงวิชา ได้รู้จักอาจารย์ที่เราไม่เคยรู้จักหลายท่าน เป็น
วิชาที่เราเรียนแล้วได้ประโยชน์เยอะมาก เหมือนเป็นการฝึกฝนตนเองมีความพร้อมไปสู่โลกของการทำงาน

ถามว่าชอบไหม บอกตามตรงว่าชอบนะ




ชื่อ นายเอกพจน์ นามสกุล คำผา
ชื่อเล่น ก้อ
เกิด 26 กันยายน 2530
อายุ 20 ปี
น้ำหนัก 54 กก.ส่วนสูง 170 ซม.
ภูมิลำเนา จังหวัดสระแก้ว
ที่อยู่ปัจจุบัน จรัลสนิทวงศ์ 40/1 แขวงยี่ขัน เขตบางพลัด กทม.


การศึกษา ปัจจุบันปัจจุบันกำลังศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิยาลัยราชภัฏสวนดุสิตคณะวิทยาการจัดการ โปรแกรมวิชาบริหารธุรกิจ สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ปี 3
ความชื่นชอบสีที่ชอบ สีดำ,น้ำเงิน ,ขาว
สัตว์ที่ชอบ กระต่าย
อาหารที่ชอบ อาหารทะเล
แนวเพลงที่ชอบ ฮิพฮอพ
เวลาว่าง ฟังเพลงเล่นอินเตอร์เน็ตเล่นกีฬา
คติ อย่าหนีปัญหา จงสู่กับปัญหา
ข้อมูลการติดต่อโทรศัพท์ 084-8670929อีเมลล์ eakkaphot@hotmail.com







เกร็ดความรู้ วิธีเอาชนะใจรุ่นพี่ ในที่ทำงาน
สะกิด มีเกร็ดความรู้ เล็กๆน้อย สำหรับคนที่ เริ่มทำงานมาฝาก
1.ยิ้มแย้ม : สถานการณ์จะตึงเครียดแค่ไหน รอยยิ้มน้อยๆ ก็จะช่วยคลี่คลายอะไรๆ ไปในทางที่ดีได้เสมอ
2.มีน้ำใจ เรื่องน้ำใจในที่ทำงาน เป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญ : หากมีใคร ต้องการความช่วยเหลือ ถ้าไม่หนักหนาอะไรนัก และเราสามารถช่วยได้ ก็ควรแสดงน้ำใจช่วยเหลือ แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็สร้างความซาบซึ้งให้ผู้รับได้แล้ว
3.มีสัมมาคารวะ : ในฐานะที่เป็น ‘น้องใหม่’ เราก็ควรมีสัมมาคารวะ รู้จักเข้าหาผู้หลักใหญ่ อย่าไปเขินหรือทิฐิ และควรมีความอ่อนน้อมถ่อมตน ต่อทุกๆ คน โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงว่า เขาจะเป็นใคร อายุน้อยหรือมากกว่าเรา

4.เรียนรู้เร็ว : พยายามศึกษาเรียนรู้ระบบงานให้เร็ว เปิดรับฟังความคิดเห็น ข้อแนะนำจากรุ่นพี่ แล้วนำมาพัฒนางานของตัวเอง แต่นอกจากที่จะเรียนรู้เรื่องงานแล้ว ก็อย่าลืมเรียนรู้ระบบ วัฒนธรรมในที่ทำงานด้วย

5.มีมาดดี : การแต่งตัว เสื้อผ้า หน้าผมก็เป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่าเรื่องอื่นๆ สำหรับการเริ่มต้นในที่ทำงานใหม่ เพราะการแต่งตัวให้ถูกกาลเทศะ เหมาะกับบุคลิกของเรา และสายงานที่ทำนั้น ย่อมแสดงให้เห็น ถึงความพร้อมเสมอ
ลองเอาเกร็ดความรู้ ที่นำมาฝาก ไปใช้นะครับ

บทความที่ใหม่กว่า หน้าแรก